post-image

วิธีดูแลรถคันโปรดเบื้องต้นด้วยตัวเองที่ควรรู้



ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง
การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง เริ่มแรก ต้องอุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานก่อน แล้วดับเครื่อง จากนั้นจึงจะทำการเช็คระดับน้ำมันเครื่องได้ โดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง วัดหลังดับเครื่องแล้ว 1-3 นาที จากนั้นดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา เสร็จแล้วเช็คน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดด้วยผ้าให้สะอาด เสียบก้านวัดน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิม ปิดท้ายด้วยดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจดูระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัด ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่าง “F” กับ “L” แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติ



การตรวจเช็คระดับน้ำหล่อเย็น

สำหรับรถที่ใช้งานปกติ ระดับน้ำหล่อเย็นควรมีการตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง การตรวจเช็คทำได้ง่าย ๆ โดยตรวจดูระดับน้ำหล่อเย็นในถังพักขณะเครื่องเย็นลงแล้ว ระดับน้ำหล่อเย็นควรอยู่ระหว่างขีดระดับเต็ม “ FULL ” และ ขีดระดับต่ำ “ LOW ” ในกรณีที่ระดับน้ำหล่อเย็นต่ำกว่าขีด “ LOW ” ให้เติมน้ำยาหล่อเย็นจนถึงขีดระดับ “ FULL ” หากระดับน้ำหล่อเย็นลดลงถึงขีด “ LOW ” อีก หรือถ้าระดับน้ำหล่อเย็นลดลงผิดปกติหลังจากเติมเสร็จแล้ว แสดงว่าอาจเกิดการรั่วซึมภายในระบบ ให้รีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไขต่อไป

Tips
– ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นให้ตรวจสอบระดับน้ำหล่อเย็นที่ถังพักน้ำหล่อเย็นเท่านั้น
– ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัดเพราะจะได้รับอันตรายจากไอน้ำที่พุ่งออกมา
– ควรใช้น้ำยาหล่อเย็นชนิดเดียวกับที่เติมอยู่ก่อนแล้ว เพราะน้ำยาหล่อเย็นต่างสูตร เมื่อผสมกัน อาจทำปฏิกิริยาต่อกันจนเป็นผลให้เสื่อมคุณภาพได้
– ไม่ควรเติมน้ำประปา เพราะจะทำให้เกิดสนิมในระบบ



ตรวจเช็คยาง
ควรเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอ ๆ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ลองตรวจสอบดูรอยรั่วจากตะปูตำหรือรอยฉีกขาด และไม่ลืมดูว่าดอกยางสึกไปมากน้อยเพียงไรแล้ว



ตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน
ยางปัดน้ำฝนเมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็อาจมีการเสื่อมสภาพ เนื่องมาจากผิวสัมผัสส่วนปลายมีการสึกหรอหรือมีสิ่งสกปรก เช่น เศษหิน ทราย ขนาดเล็ก ติดอยู่ระหว่างยางใบปัดกับกระจกทำให้ยางปัดน้ำฝนสึกได้ นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกต สภาพของที่ปัดน้ำฝนได้จากลักษณะการปัดได้ด้วย โดยหากปัดไม่สะอาดหรือมีเสียงดัง แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว



ตรวจเช็คแบตเตอรี่
ควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควร ส่วนแบต Maintenance Free ควรเปลี่ยนทุก 2 ปี และหากสตาร์ทติดยาก และเป็นแบตที่ใช้อายุนานเกินสองปี สันนิษฐานได้เลยว่าแบตเตอรี่ใกล้หมดอายุแล้ว


...............................................
ขอบคุณข้อมูล : เว็บ e-TOYOTA club , toyotathajean.co.th